หนังไทย เรื่อง กวน มึน โฮ เรื่องย่อ : ชายหนุ่มเพศหญิงสาวคู่หนึ่งก็เลือกเฟ้นที่จะไปเที่ยวเกาหลีด้วยต้นเหตุผลที่ไม่ซ้ำใคร ทั้งคู่มิได้ไปด้วยกัน แต่กลับในเวลาเดียวกัน… ชายหนุ่ม (เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) ผู้ชายที่จะไปย่ำแดนกิมจิด้วยรองเท้าทายแตะคีบ และเสื้อยืดย้วยๆบวกกางเกงขาสั้น เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มทัวร์ที่ไร้ครอบครัวหรือคนรักมาด้วย บางโอกาสที่นั่งว่างเปล่าข้างๆ อาจเป็นสาปัจจัยให้เขาเมามายขนาดนี้ในวันสัญจร ข้างหลังล้อเครื่องแตะพื้นผิวท่าอากาศยานกรุงโซล ซอฟต์แวร์เที่ยวตามรหัสนรก 6-7-8 (ตื่นนอน-กินข้าวล้อหมุน)
ก็เริ่มตอนนี้ตั้งแต่ต้นขึ้น ชายหนุ่มจำทนยอมรับฟังมุขฝืดของไกด์อยู่ครึ่งค่อนวัน ยอมสวมบทตากล้องต้องมีให้ได้ให้กับคู่หวานแหววชักภาพกับป้ายบ้าๆ บอๆ เป็นรอบที่ร้อย คืนนั้นชายหนุ่มเลยต้องพึ่งเหล้าโซจูย้อมใจ เข้าทำนอง “ดื่มเพื่อที่จะหลงลืมทัวร์” แต่เรื่องกลับแปรเปลี่ยนเป็นว่า เขามาเมาสลบอยู่หน้าเกสท์เฮาส์หนแห่งึ่งในชุดคลุมอาบน้ำโรงแรม! เช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาหมิ่นเหม่ระหว่างล้อหมุน สตรีสาว (หนูนาหนึ่งธิดา โสภณ) ที่ยืนอยู่ตรงนั้นร้องโวยวาย เพราะต้องการทวงเสื้อหนาวที่เธอเสียสละให้เขาใช้คลุมกายคืน
ชายหนุ่มผู้หลงทิศก็เลยบังคับแกมตีมึนให้เพศหญิงสาวพาไปส่งที่โรงแรม หนังไทย แต่เนื่องจากว่าหลงทางเสียเวล่ำเวลา หลงเสพสุราเสียอนาคต ชายหนุ่มตกรถพลาดทัวร์สุดเนิร์ด จนต้องมาเกาะสอยแขวนตามสตรีสาวที่ใส่ใจมาทัวร์เดี่ยวตะลุยโลเกชั่นซีรีย์ สสุดฮิตของเกาหลีแทน ชายหนุ่มอดสงสัยมิได้ว่า ทำไมหญิงสาวถึงมาเที่ยวคนเดียว เธอตอบง่ายดายว่า เที่ยวคนเดียวไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจคนไหน อยากไปไหนก็ไป ไม่จำเป็นจะต้องทะเลาะกับคนไหนด้วย อาจจะเนื่องมาจากความคะนอง หรือ ความเหงาจัดการงานเต็มที่ก็สุดจะคาดคะเน
อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นข้อเสนอแนะ “งั้นพวกเรามาเที่ยวร่วมกันมั้ย ถ้าเธอไม่ชอบเที่ยวกับคนรู้จัก เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักดีกัน ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบข้อมูลส่วนบุคคล” เขายิ้มร่าพลางสรุป “พวกเราจะเป็นแค่คนแปลกหน้าสองผู้คนที่ไปเที่ยวร่วมกัน” คงจะเหตุเพราะความมึนจากฤทธิ์เหล้าโซจูที่เธอกระดกหมดถ้วย หรือ ความทะเล้นของชายหนุ่มที่ทำให้ผู้หญิงสาวอบอุ่นใจ เธอจึงตอบตกลง “โอเค พอกลับเมืองไทยพวกเราก็ไม่เหน้าจอกันแล้ว ด้วยเหตุนี้อยู่ที่นี่เราจะเป็นตัวของตนเองกันให้สุดๆ” ค่าแรงโดยประมาณ : 125 ล้านบาท
หนังไทย มหาลัยเหมืองแร่
สถานะการณ์ชีวิตของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ เด็กหนุ่มวัย 22 ปี ซึ่งตัวเขาถูกรีไทร์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่งผลให้เขาสิ้นสุดการเป็นนักศึกษาในสถาบันระดับปริญญาชื่อเรื่องอย่างกับนั่นเอง ซึ่งทั้งสิ้นถือคือจุดเริ่มแรกของการเดินทางเข้าสู่การเรียนชีวิตจริงที่ไม่สามารถทำความเข้าใจจากตำรา เนื่องจากเขาได้ตกลงใจไปจัดการงานที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่มีความทุรกันดาร เรียกว่าทางเดินชีวิตของเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย หนังประเด็นนี้ถือเป็นหนังที่ดีที่สุดเหมาะสมแก่สิ่งตอบแทนอย่างมากครับผม ด้วยเหตุว่าหนังสอดแทรกสาระ แง่คิดต่าง ๆ เป็นหนังที่ให้คนชมได้ศึกษาชีวิตร่วมกันกับผู้แสดง
Super Salaryman ยอดมนุษย์เงินเดือน (พ.ศ.2555) ผู้ใดที่เป็น “มนุษย์เงินเดือน” มั่นใจว่า Super Salaryman ยอดมนุษย์ค่าจ้างต่อเดือน จะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่จะทำให้คนชมมีความรู้สึกว่า “นี่มันตัวเราชัดๆ”
ประเด็นนี้สะท้อนแง่มุมแจ่มชัดว่ามนุษย์ค่าแรงต่อเดือนคือผู้คนที่มี เงินเต็มกระเป๋า ระหว่างต้นเดือน แต่ใช้ได้ ไม่ถึง ครึ่งเดือน ก็เกิดอาการ กระเป๋าแฟบ เจอเพื่อนร่วมงาน มากกว่าคนรัก ปฏิบัติการหนัก เพื่อที่จะห่วยแตกงกัน ไปเที่ยว ต่างจังหวัด ในช่วงวันยุติยาว (Long Weekend) เซ็งกับ ตรรกะล่มสลาย ของเจ้านาย แต่ก็จะต้อง จำยอม ประพฤติตาม เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เป็นความเข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้ และแนวความคิดของคนเราค่าแรงต่อเดือนที่ตัวหนังเพียรพยายามสะท้อนให้เห็นได้ชัดถึงการเดินทางนอกกรอบเพื่อที่จะก้าวหลุดจากคำว่า “มนุษย์ค่าแรงต่อเดือน”
แสงกระสือ (Inhuman Kiss)
ผู้กำกับ: สิทธิศิริ มงคลศิริ
ความน่าดึงดูดของหนังอยู่ที่การนำตำช้านานผีเก่าแก่ของไทยอย่าง ‘กระสือ’ และ ‘กระหัง’ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นผีที่เชย รูปลักษณ์ประหลาด มีความลำดับขั้นบี และไม่ยากที่จะออกมาเฮฮา – มาทำเป็นหนังที่ออกมาอินเทรนด์ ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากงานขอความปรานีักชั่นและซีจีที่ชมดีเหนือกฏเกณฑ์, การวางแบบกระสือกับกระหังที่สวยงามมีเอกลักษณ์, แนวหนังที่ยั่วยวนใจผู้ดูวงกว้างขวางอย่างเรื่องรักสามเส้า (แบบหนัง Twilight) ผสมกับแนววัยรุ่น coming of age และแนวแอ็คชั่น
ด้วยความที่หนังเต็มไปด้วยองค์ประกอบแบบไทยๆ (และได้มีการทริบิวต์ให้กับหนัง/ละคร กระสือ ในหลายๆส่วน) แต่มีการโชว์ให้เห็นที่เป็นสากล ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่หนังหัวข้อนี้จะถูกคัดคัดสรรค์เป็นผู้แทนในการส่งชิงออสการ์สาขาหนังยาวนานาชาติปีนี้แม้จะเต็มไปด้วยองค์ประกอบฉูดฉาด แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันคือหนังเจาะลึกชีวิตวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายท่ามกลางสภาวะบ้านเมืองไม่ทั่วไป (นำมาซึ่งการทำให้มันมีความเป็น ‘หนังวัยรุ่น’ ที่บรรจุกระสือลงไป มากยิ่งกว่าเป็น ‘หนังผี’)
ในขณะที่หนัง/ละคร กระสือ ต้นแบบก่อนๆ โดยส่วนมากจะมีประเด็นเกี่ยวกับกรรมเวร แต่แสงกระสือกลับมุ่งเน้นไปที่มุมมองทางสังคมมากมายยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นการล่าแม่มด, การที่สังคมสร้างอสุรกายและความหวาดกลัวขึ้นจากสิ่งที่หมวดเขาไม่ทราบ, เส้นแยกประเภทระหว่างมนุษย์กับภูติผีปีศาจที่พร่าเลือน, ความขัดคัดค้านและหน้าจองล้างจองผลาญกันตอนคนต่างสายพันธุ์ (กระสือ – มนุษย์, กระสือ – กระหัง) ซึ่งเป็นประเด็นที่เข้ากันกับฉากข้างหลังอย่างชนบทในขณะสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เกลียดชังชัง สูญเสีย และยังเป็นแง่มุมที่สะท้อนถึงสังคมไทยในตอนนี้ได้อีกต่างหาก
มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทองคำ
ว่าด้วยเหตุการณ์ความรักของ ดื้อ (นน – ชานน สันตินธรกุล ) นักกีฬาวิ่งของมหาวิทยาลัยหนแห่งึ่ง ที่แอบรักน้าสาวอย่าง หลิน (เก้า – สุภัสสรา ธนชาต) อุตสาหะทำทุกหนทางไร้หนุ่มๆมาจีบ คอยกันท่าตลอด หนังไทย หนึ่งในนั้นมีนักวิ่งระดับนักเรียนรู้แพทย์ที่ลงชิงชัยกันมากี่ครั้ง ดื้อ ก็แพ้ตลอดตัวหนังได้เกิดการสอดแทรกมุขตลอดทั้งเรื่อง เพื่อเพิ่มเติมอีกความสนุกสนานสำหรับในการชม อย่างไรก็ตามก็ยังซ่อนเร้นแง่คิดดีดีเอาไว้ด้วยกัน ตลอดทั้งเรื่องพวกเราจะเห็นถึงความตั้งใจและไม่อ่อนข้อแพ้ของ ดื้อ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นการเพียรพยายามเอาชนะใจ หลิน หรือถึงแม้กระทั่งในส่วนท้ายที่กลับมาเป็นนักวิ่งอีกสักที เมื่อทราบว่าจึงควรลงแข่งขันกับคู่ต่อสู้ทั้งในสนามและในดวงใจอีกครั้ง เขาก็ขมักเขม้นซ้อมมากกว่าที่เคยเป็นมา
บิ้วตี้ฟูลบ๊อกเซอร์
ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2003 จากเรื่องจริงของ น้องตุ้ม ปริญญา เกียรติบุษบา นักมวยสาวชนิดสองที่โด่งเหมือนกับไปทั้งโลก แก่นหลักของเรื่องเปิดเผยให้ปรากฏถึงความยากลำเค็ญสำหรับในการใช้ชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีใจเป็นหญิง หลงใหลให้เสน่ห์ของแม่ไม้มวยไทย จึงฝึกฝนจนเป็นนักมวยอาชีพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว นอกแล้วหลังจากนั้นพวกเราจะได้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นคนไหน เพศใดๆ หากกำหนดเป้าหมายชีวิตไว้อย่างชัดเจนแล้ว ก็จำเป็นต้องลงมานะทำความฝันให้เป็นจริง
คำนึงถึงวิทยา (2557)
ผู้กำกับ: นิธิวัฒน์ ธราธร
นักทำให้รู้: สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์
ครูหนุ่มจำเป็นที่จะต้องไปสอนและใช้ชีวิตที่โรงเรียนรู้เรือนแพเป็นเทอมๆ โดยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ถูกตัดขาดจากโลกข้างนอก มีเพียงไดอารี่ของครูสาวคนก่อนที่จะถูกทิ้งไว้เป็นเพื่อจะน จนเขารู้สึกผูกพันผ่านไดอารี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นสายใยเชื่อมทั้งสองในตอนภายหลัง
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี
เนื้อเรื่องดำเนินมาถึงจุดไคลแม็ก เมื่ออยุธยากำเนิดศึกใหญ่กับพม่า หนังไทย สมเด็จพระนเรศวรจำเป็นต้องชนช้างสู้รบกับพระมังสามเกียด เพื่อจะรักษาความไม่มีอันตรายของบ้านเมือง และด้วยฉากการกระแทกช้างสุดตระการตา ส่งผลให้คนไทยหลายคนไม่พลาดที่จะดูภาคนี้ ส่งให้รายรับมากถึง 205.16 ล้านบาท
ฮาวทูทิ้ง ทิ้งเช่นไร…ไม่ให้เหลือเธอ (Happy Old Year)
ผู้กำกับ: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
เป็นการกลับมาทำหนังให้ค่ายหนัง GDH (หรือ GTH) อีกทีของนวพลหลังจาก โดยไม่ต้องเสียเงินแลนซ์ ห้ามป่วย…ห้ามพัก…ห้ามรักหมอ ซึ่งตัวหนังที่ออกมานั้นไม่เหมือนจากหนัง GDH ส่วนมากรวมทั้งหนังตลาดทั่วๆไป ดิ่งที่หนังมีความ feel bad จบแบบไม่ให้ความมุ่งหวัง ผู้แสดงมีความเป็นสีเทา ไม่น่าเอาใจช่วย
หนังยังอาจจะแสดงตัวสไตล์และลายเซ็นของนวพลอย่างกระจ่าง เป็นต้นว่า เนื้อเรื่องที่มีความไฮคอนเซ็ปต์, นักแสดงหน้าเด้ด, ภาพ long take, การใช้เพลงและดนตรีประสม เป็นต้น แต่ ฮาวทูทิ้ง มีความปรับเปลี่ยนออกมาจากหนังเรื่องเก่าๆ ของเขาหลายอย่าง อย่างเช่น หนังมีความนิ่งเนิบเพิ่มขึ้น และมีหลายฉากที่มีความเงียบเป็นองค์ประกอบสำคัญ เกิดการพิจารณาอารมณ์วิชาความรู้สึกของผู้แสดงที่ลึกขึ้น และพูดถึงความเกี่ยวเนื่องของมนุษย์ที่สลับซับซ้อนขึ้น ฯลฯ
หนังเล่าเรื่องราวของหญิงสาวมีความต้องการรีโนเวทบ้านรกๆ ของครอบครัวให้เป็นโฮมออฟฟิศแนวมินิมอล จนจำเป็นที่จะต้องกระทำการเคลียร์สิ่งของที่มีอยู่เต็มบ้านทิ้งไป ซึ่งไม่ใช้ว่าจะง่ายอย่างที่เธอตั้งใจขั้นตอนแรก เนื่องมาจากสิ่งของต่างๆ ล้วนมีความทรงจำที่มีต่อบุคคลต่างๆ ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น นอกเหนือจากหนังจะเอ่ยถึงการจัดแจง ‘สิ่งของ’ ว่าจะทิ้งหรือเก็บแล้ว
มันยังพูดถึงเรื่องการจัดแจง ‘จดจำ’ และ ‘ความเกี่ยวพัน’ หนังไทย ที่พวกเรามีกับคนข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อจะน-ครอบครัว-คนรัก ซึ่งแน่ๆว่าเราไม่สามารถที่จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับตัวหรือติดเข้ากับแต่ก่อนได้ตลอดระยะเวลา ‘การมูฟออน’ (move on) โดยทิ้งอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะดูความมีตัวตน (ซึ่งการทุ่งนางเอกทิ้งสิ่งพวกนี้แบบถอนรากถอนโคนสามารถมองได้ว่าเป็นการกระทำของคนไร้จิตใจ) แต่บ่อยมากที่การมูฟออนไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องมาจากสมัยก่อนและบาดแผลในใจยังอาจฝังลึกในตัวเรา
นอกจากแง่มุมดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว หนังยังกล่าวแง่มุมทางสังคมการเมืองผ่านความขัดโต้เถียงทางความคิดช่วงแม่-ลูก ตัวเอกที่เป็นวัยรุ่นบอกในหนังว่านี่คือสมัยของหมวดเรา และควรต้องความเคลื่อนไหวบ้านเก่า ซึ่งในเวลานี้ไม่รับฟังก์ชั่นกับยุคตอนนี้ แต่แม่ต้องการให้ยังอาจรักษาหลายๆ สิ่งในบ้านให้เหมือนอย่างเคย ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบ ‘บ้าน’ เป็น ‘ประเทศ’ และเปรียบ ‘การรีโนเวทบ้าน’ แทน ‘การเปลี่ยนแปลงสังคม’ ซึ่งหลายครั้งที่จบสิ้นลงด้วยความขัดถกเถียงและไม่ลงรอยกันตอนคนต่างรุ่น