หนังเรท r18+ ส่วนประกอบฉาก แสงสว่าง สี ของประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดีเลิศ การใช้สีในเสื้อผ้า พร็อบของแต่ละตอนทำออกมาให้เข้าถึงอารมณ์ มูดแอนด์โทนไปในทางเดียวกัน มุมกล้อง การตัดต่อแล้วก็รายละเอียดนิดๆหน่อยๆค่อนข้างจะเก็บและทำออกมาได้เพอร์เฟ็ค ไม่สมควรพลาดชมจริงๆสำหรับหัวข้อนี้ แถมตอนที่ซอมบี้ออกมาก็น่ากลัว และระทึกใจมากมาย!
ทันทีทันใด เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น เมื่อน้องกลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ถึงแม้ว่าตัวมันเองไม่มีซึ่งสัญญาณ เมื่อฟินนีย์รับสาย ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์ผีสิง ปลายสายเป็นเสียงจากวิญญาณของเหยื่อคนก่อนๆของเดอะ เอ็งร็บเบอร์ ที่อุตสาหะแผดเสียงมาถึงฟินนีย์ เพื่อช่วยเหลือไม่ให้น้องเกิดเหตุซ้ำรอยราวกับเหยื่อคนก่อนๆ
ทางด้านการแสดงถือว่า Mason Thames แสดงในบท Finney ก้าวหน้า แต่มีความคิดว่าการพัฒนาผู้แสดงมันก้าวกระโจนไปสักหน่อย มองแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเร็วมากมาย บทน้องสาว Gwen ที่แสดงโดย Madeleine McGraw ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร หนังเรท r18+ บางซีนแอบเล่นใหญ่ไปด้วยซ้ำ ที่น่ายกย่องที่สุดก็คือ Ethan Hawke ในบท The Grabber หรือจอมผลักนี่แหละ ที่ไม่คุ้นภาพความเป็นตัวเขาเลย แถมท่าทีการพูดการจายังดูโรคจิตไม่ใช่น้อย แต่ว่าโชคร้ายที่หนังมีพื้นที่ให้เขาโชว์ประสิทธิภาพไม่เพียงพออย่างที่ได้กล่าวไปย่อหน้าที่แล้ว
สรุปแล้ว The Black Phone – สายหลอนซ่อนวิญญาณ เป็นหนังทุนต่ำที่ประดิษฐ์ผสมผสานหนังหลายแนวได้อย่างพอดี อีกทั้งตื่นเต้น ทั้งยังสยองลงเหมาะเหม็งมาก มิได้เน้นย้ำไปทางใดทางนึง แต่ก็ถือว่าเสมือนกั๊กๆเลยให้ความรู้สึกไม่สุดสักทางแบบเดียวกัน แต่ก็ดำเนินเรื่องราวได้อย่างเบิกบาน ลุ้น ตื่นเต้น น่าเอาใจช่วยเจริญเลย
หนังอิงจากเรื่องจริงในเกาหลีใต้ ว่าด้วยหลักการ baby box หรือกล่องเด็กแบเบาะ ที่สถานสงเคราะห์ตั้งไว้เพื่อแม่ที่ออกลูกแล้วแต่พบว่าตนเองไม่พร้อมจะอุปถัมภ์ ให้นำเด็กแบเบาะมาทิ้งเอาไว้ภายในกล่องนี้แทนที่จะไปทิ้งตามกองขยะ เพื่อเด็กจะถูกส่งต่อไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็หาบิดามารดามาเลี้ยงดู
หนังเรท r18+ “The One and Only เพียงเดียว”
ซีรีส์ประเทศเกาหลีดราม่าเข้มข้น ผสมการฆาตกรรม พร้อมเล่าเรื่องราวที่จะทำให้คุณจำต้องเสียน้ำตา แม้คุณรู้ดีว่าตัวเองใกล้จะตายจากลักษณะของการป่วย สิ่งในที่สุดที่คุณต้องการด้วยกันเป็นยังไง? พบกับ 3 สาวผู้ผ่านเรื่องราวเยอะมาก แล้วก็กำลังจะตายด้วยโรครุนแรงระยะท้ายที่สุด พร้อมด้วย 1 ชายหนุ่มคนสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวพัน จนถึงทำให้เกิดชะตากรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดไป
เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นเมื่อ ซองฮยัง (ซอง กังโฮ) พนักงานของสถานสงเคราะห์ ขโมยเด็กแรกเกิดที่ถูกเอามาทิ้งไว้เพื่อเอาไปขายต่อให้บิดามารดาที่ไม่ได้อยากอุปถัมภ์เด็กผ่านกรรมวิธีที่ถูก (อาทิเช่นคู่ครองที่ไม่ได้ลงบัญชีกัน หรือคู่เพศเดียวกัน) ส่วนคู่หูในขั้นตอนค้าเด็กของเขาคือ ดองซู (กัง ดองวอน) อดีตลูกกำพร้าสถานที่ทำงานสถานสงเคราะห์เช่นเดียวกัน
เรื่องบังเอิญกับกัปตัน เจ.เจ. คอลลินส์ (เอลซ่า พาทากี) ที่เพิ่งถูกส่งมาทำหน้าที่ยังฐาน SBX-1 แม้กระนั้นยังไม่ทันได้หายใจหายคอ เหล่าผู้ก่อเหตุร้ายก็บุกเข้ามายังฐานทัพแห่งนี้อย่างรวดเร็ว ด้วยสติของคอลลินส์คุณจึงล็อคดาวน์ตัวเองเอาไว้ในห้องควบคุมและพากเพียรซีลปิดประตูทางเชื่อม เพื่อชะลอการบุกเข้ามาของอเล็กซานเดอร์ (ลุค บาร์ซีย์) หัวหน้าผู้ก่อเหตุร้ายแรงรูปหล่อแถมล่ำ ผู้หมายมั่นปั้นมือจะทำให้อเมริกาถูกอาวุธถล่ม
พูดได้ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโรตัวแรกของมาร์เวล สตูดิโอเลยก็ว่าได้สำหรับ ธอร์ (Thor) ที่ได้มีหนังเรื่องที่ 4 เป็นของตัวเองในชื่อ ‘Thor Love and Thunder’ โดยได้ ไทกา ไวทิทิ (Taika Waititi) ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์ที่เคยกุมบังเหียน ‘Thor Ragnarok’ หนังภาคที่ 3 ของธอร์มาก่อนหน้านี้ โดยจากตัวอย่างหนังพวกเราก็เพียงพอจะคาดหวังได้แล้วว่าสิ่งที่กำลังจะได้มองเห็นแน่นอนคือการกลับมาของผู้แสดง ดร.เจน ฟอสเตอร์ ของท้องนาตาลี พอร์ตแมน (Natalie Portman) ในคราบของฮีโรธอร์คนใหม่และการร่วมทางไปทั่วกาแล็กซีไปกับเหล่า ‘Guardian of the Galaxy’
ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนวการแพทย์ที่จัดเต็มมากมายสำหรับส่วนประกอบฉาก แล้วก็บทบาทการแสดง การผ่าตัด การดูแลและรักษาที่มองเห็นครบทุกสัดส่วน ในซีซัน 2 มีการวางเรื่องราวเงื่อนชีวิตส่วนตัวของแต่ละตัวละครเพิ่มเข้ามาสำหรับเพื่อการดำเนินเรื่องราว ทำให้มีความน่าค้นหา แล้วก็อารมณ์ดราม่าเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งดาราหนังแต่ละคนสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเข้าถึงหน้าที่ แม้กระนั้นถึงแบบงั้นซีรีส์ยังคงมีฉากให้ได้โรแมนติกสำหรับคู่ดารานำชาย-นางเอก ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ได้พอสมควร ที่หากแม้จะเปลี่ยนเป็นดาราหนังคู่ใหม่ แต่ความรู้สึกไม่มีความต่างจากเดิมมากนัก เนื่องจากว่านักแสดงอื่นๆยังคงเป็นผู้แสดงเดิมจากซีซันแรกจึงทำให้ความรู้สึกยังคงสม่ำเสมอ
เนื่องจากว่าตัวเนื้อเรื่องของหนังเล่าภายใต้บรรยากาศของเมืองโคโลราโดยุค 70’s ซึ่งจริงๆยุคนี้นับว่าเป็นยุคเรืองรองของคดีการฆ่าสังหาร ลักพาตัว ฆาตกรต่อเนื่องเป็นทุนเดิม ตัวหนังก็เลยจับเอาบรรยากาศความกลัวและก็ความสิ้นหวังอดสูจิตใจจากยุค 1970 มาสร้างบรรยากาศ ปูเรื่องให้รู้ถึงบรรยากาศความสยองขวัญคละเคล้าหมดหวังของผู้ที่อยู่ในโอบล้อมของเหตุ รวมทั้งเป็นแรงส่งให้พวกเรารู้สึกถึงการเคารพกรรมวิธีการเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญยุคเก่าไปด้วยพร้อมเพียงกัน ซึ่งจะว่าไปก็มีความคล้ายกับการเซตบรรยากาศความสยองคละเคล้าคัลต์ยุค 80’s ในซีรีส์ ‘Stranger Things’ อยู่เหมือนกันครับ
ทวงคืน เป็นหนังที่โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จู่ๆก็มีการโฆษณาหนังประเด็นนี้อย่างงงมากๆไม่รู้เรื่องราว ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังประเด็นนี้เลย ขนาดดูตัวอย่างก็ยังไม่เคยรู้ว่าตกลงหนังมันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ มันมองจับฉ่ายมาก เป็นหนังผี หนังรัก ภาพยนตร์ตลก ซึ่งพอใช้ได้ดูแล้วก็น่าผิดหวังจริงๆ
หนังเกิดเรื่องราวเกี่ยวกับคนรักที่ไม่รักกันแล้ว แต่ดันเป็น Youtuber ที่จะต้องมารับถ่ายคลิปทำคอนเทนต์คู่ควงด้วยกันอีก จนเรื่องราวมันไม่ตั้งใจมาพบไลฟ์ผู้ฝึกสอน แล้วก็นำพาไปเจอกับหมู่บ้านสุดสยดสยองที่ทั้งยังสามกำลังโดนทวงคืน!
Lightyear จึงอาจจะมีความก้ำกึ่งอยู่ในฐานะของ “หนังซ้อนหนัง” อีกตลบ รวมทั้งเพื่อให้เราไม่หลุดกรอบแว่นที่จะติดสินในเชิงคุณประโยชน์ หรือ กระทั่งบริบทความคิดความอ่านของตัวละคร เราจึงจะต้องยึดหลักมาตรฐานที่ว่าในเมื่อผู้กำกับแองกัส แมคเลน วางสิ่งที่เกิดขึ้นในแอนิเมชั่นประเด็นนี้ในฐานะไทม์แคปซูลพาผู้ชมหวนกลับไปสู่เรื่องราวในหุบระยะเวลาที่มีการสร้างการ์ตูนแอ็คชั่น ย่อยง่าย พร้อมพ่วงไปด้วยข้อความสำคัญที่ชักชวนขบคิด ถึงแม้มันจะไม่ได้สุขุมเรียกน้ำตาแบบเอาจริงเอาจัง แต่ว่ามันก็ยังมีคุณค่าและไม่ได้หยาบ
Moon Fall
หรือชื่อไทย วันย่อยยับ จันทร์ถล่มโลก” เล่าเรื่องราวของกลุ่มมนุษย์อวกาศที่ถูกส่งไปกู้วิกฤติภายหลังที่พระจันทร์โดนดาวพระเคราะห์น้อยชนจนกระทั่งวิถีโคจรมุ่งตรงมายังโลกและก็ทำลายล้างทุกชีวิต เมื่อเวลาของมนุษยชาติเริ่มนับถอยหลัง “โจ ฟาวเลอร์” (ฮัลลี เบอร์รี) ข้าราชการระดับค่อนข้างสูงของ NASA รวมทั้งอดีตกาลมนุษย์อวกาศที่บางทีอาจเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ โดยมีแค่เพียง “ไบรอัน ฮาร์เปอร์” (แพทริก วิลสัน)
มนุษย์อวกาศที่เคยร่วมงานกับเธอ และก็ “เคซี เฮาส์แมน” (จอห์น กางรดลีย์) นักทฤษฏีคบคิดเพียงแค่นั้นที่เชื่อถือในตัวคุณ เหล่าคนกล้าจำต้องออกเดินทางไปยังอวกาศในภารกิจชี้เป็นชี้ตายเพื่อปกป้องคนที่พวกเขารักและก็ทุกชีวิตบนโลกก่อนที่จะทุกๆอย่างจะดับสูญ…
โดยคุณหมอโรแมนติก 2 ยังเน้นหนักที่การดูแลรักษา แล้วก็มุมมองการแพทย์ให้ผู้ชมได้สัมผัสมากยิ่งขึ้น ด้วยเรื่องราวที่รับดูสามารถให้แง่คิดสำหรับเพื่อการดำรงชีวิต รวมทั้งรับทราบข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการรักษาหรือการผ่าตัดจากฉากการแสดงของซีรีส์หัวข้อนี้ ที่สามารถพูดได้ว่าสมจริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ให้ความรู้กับพวกเราอีกด้วย ทำให้ซีรีส์แนวการแพทย์ประเด็นนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี แล้วก็มีกระแสอยากให้สร้างซีซัน 3 อีกด้วย
หนังหัวข้อนี้ก็นำความสับสนไม่กระจ่างมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ฉากเปิดที่อิงเรื่องการรับทราบแบบวิทยาศาสตร์ว่าเราบางทีอาจตีความหมายภาพที่เห็นได้หลายแบบ แล้วโยงไปสู่เรื่องเหนือธรรมชาติว่าเหล่าความศรัทธาเองก็สามารถถูกมองได้หลายประเด็นเช่นกัน หนังเรท r18+ เป็นการดึงผู้ชมที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ค่อยๆกลืนไปกับเรื่องเหนือธรรมชาติและงงงวยต่อข้อเท็จจริงที่รับรู้ไปพร้อมกันด้วย
เห็นด้วยว่าไม่ถูกที่พวกเราส่วนนึงที่คาดหมายว่าหนังจะออกมาในอีกแบบ จะเป็นแบบหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่เกิดเรื่องราวระหว่างดินแดนกับแพทตี้ อารมณ์แบบ 32 ธันวา หรือ ส.ค.ส. สวีทตี้อะไรอย่างงั้น แต่ว่า…มันดันออกมาเป็นแบบนี้ อะเพียงพอพวกเราจับทางหนังได้ยอมรับตัวหนังว่าเป็นอย่างนี้มันก็ยังไม่เวิร์คอยู่ดี
หนังมันมีความพยายามสูงมากในหลายๆด้าน สิ่งแรกเลยเป็นเป็นหนังที่พยายามแบบเพียรพยายามอย่างมากที่จะให้มันขำขัน ประดิษฐ์ถ้อยคำ การแสดง มุกต่างๆเพื่อให้มันตลกขบขัน แต่ว่าประเด็นซึ่งมันไม่ตลกไง มันเฮฮากับความไม่ตลกของหนังหัวข้อนี้นี่แหละ หนังอุตสาหะจะประสมประสานมากมายแนวเข้ามาด้วยกัน แต่มันไม่ดีสักอย่างเลย
ถึงแม้ Voyagers จะเข้าฉายในโรงหนังบ้านเราตั้งแต่ปลายปีก่อน ด้วยกระแสซึมเซา แม้กระนั้นดูเหมือนภายหลังที่ลงสตรีมมิ่ง Netflix ไม่กี่วัน หนังก็ขึ้นชั้น Top 10 อย่างรวดเร็ว ตัวหนังกล่าวถึงกลุ่มวัยรุ่นที่พึ่งศึกษาและทำการค้นพบสัญชาตญาณดิบของตนเองกึ่งกลางอวกาศอันเวิ้งว้างดังนั้นเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่หยิบเอาเรื่องจริงมาเป็นวัตถุดิบเริ่มต้น สิ่งที่อยู่ “กลางทาง”
ก็เลยอาจจะมีการปรุงปั้นเรื่องราวเข้าไปเพื่อเพิ่มออรถรสความรื่นเริงใจให้กับนักอ่าน แล้วก็เมื่อมันถูกดัดแปลงแก้ไขให้กลายเป็นภาพยนตร์อีกตลบ ในตอนเครดิตเปิดเรื่องจึงมีการระบุไว้ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มว่า “นี่ไม่ใช่หนังประวัติบุคคล” เนื่องจากว่าภายหลังจากมองจบอาจมีคนดูไม่น้อยที่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังประเด็นนี้เกิดเรื่องจริงทั้งหมดทั้งปวง